ความหมาย
ความสำคัญ และประโยชน์ของวิธีการทางประวัติศาสตร์
ความหมายของวิธีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์ หมายถึง วิธีการหรือขั้นตอนต่างๆ
ที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า วิจัยเกี่ยวกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์
โดยเฉพาะอาศัยจากหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นสำคัญ ประกอบกับหลักฐานอื่นๆ
เช่น ภาพถ่าย แถบบันทึกเสียง วีดิทัศน์ หลักฐานทางโบราณคดี เป็นต้น
ทั้งนี้เพื่อให้สามารถฟื้นอดีตหรือจำลองอดีตขึ้นมาใหม่
ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์และน่าเชื่อถือ
ความสำคัญของวิธีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์มีความสำคัญ
คือ ทำให้เรื่องราว กิจกรรม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มีความน่าเชื่อถือ
มีความถูกต้องเป็นความจริง หรือใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด
เพราะได้มีการศึกษาอย่างเป็นระบบ อย่างมีขั้นตอน มีความระมัดระวัง รอบคอบ
โดยผู้ได้รับการฝึกฝนในระเบียบวิธีการทางประวัติศาสตร์มาดีแล้ว
สำหรับการศึกษาประวัติศาสตร์นั้น
มีปัญหาที่สำคัญอยู่ประการหนึ่ง คือ อดีตที่มีการฟื้นหรือจำลองขึ้นมาใหม่นั้น
มีความถูกต้อง สมบูรณ์ และเชื่อถือได้เพียงใด
รวมทั้งหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษรที่นำมาใช้
เป็นข้อมูลนั้น มีความสมบูรณ์มากน้อยแค่ไหน
เพราะเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มีอยู่มากมายเกินกว่าที่จะศึกษาหรือจดจำได้ หมด
แต่หลักฐานที่ใช้เป็นข้อมูลอาจมีเพียงบางส่วน ดังนั้น
วิธีการทางประวัติศาตร์จึงมีความสำคัญเพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับผู้ศึกษา
ประวัติศาสตร์ หรือผู้ฝึกฝนทางประวัติศาสตร์จะได้นำไปใช้ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง
ไม่ลำเอียง และเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
ประโยชน์ของวิธีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์มีประโยชน์ทั้งต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ที่ทำให้
ได้ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ ประโยชน์อีกด้านหนึ่ง คือ
ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนการใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์จะทำให้เป็นคนละเอียด รอบคอบ มีการตรวจสอบเรื่องราวที่ศึกษา
รวมทั้งนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้
โดยจะทำให้เป็นผู้รู้จักทำการประเมินเหตุการณ์ต่างๆว่า มีความน่าเชื่อถือเพียงใด
หรือก่อนจะเชื่อถือข้อมูลของใคร ก็นำวิธีการทางประวัติศาสตร์ไปตรวจสอบก่อน
ขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์
ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดเป้าหมาย
เป็น ขั้นตอนแรก นักประวัติศาสตร์ต้องมีจุดประสงค์ชัดเจนว่าจะศึกษาอะไร
อดีตส่วนไหน สมัยอะไร และเพราะเหตุใด เป็นการตั้งคำถามที่ต้องการศึกษา
นักประวัติศาสตร์ต้องอาศัยการอ่าน การสังเกต และควรต้องมีความรู้กว้างๆ
ทางประวัติศาสตร์ในเรื่องนั้นๆมาก่อนบ้าง ซึ่งคำถามหลักที่นักประวัติศาสตร์ควรคำนึงอยู่ตลอดเวลาก็คือทำไมและเกิดขึ้น
อย่างไร
ขั้นตอนที่ 2 การรวบรวมข้อมูล
หลัก ฐานทางประวัติศาสตร์ที่ให้ข้อมูล
มีทั้งหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรและหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรมี
ทั้งที่เป็นหลักฐานชั้นต้น(ปฐมภูมิ) และหลักฐานชั้นรอง(ทุติยภูมิ)
การรวบรวมข้อมูลนั้น
หลักฐานชั้นต้นมีความสำคัญและความน่าเชื่อถือมากกว่าหลักฐานชั้นรอง
แต่หลักฐานชั้นรองอธิบายเรื่องราวให้เข้าใจได้ง่ายกว่าหลักฐานชั้นรอง ในการ
รวบรวมข้อมูลประเภทต่างๆดังกล่าวข้างต้น ควรเริ่มต้นจากหลักฐานชั้นรองแล้ว จึงศึกษาหลักฐานชั้นต้น
ถ้าเป็นหลักฐานประเภทไม่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ควร
เริ่มต้นจากผลการศึกษาของนักวิชาการที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน
ก่อนไปศึกษาจากของจริงหรือสถานที่จริงการศึกษาประวัติศาสตร์ที่ดีควรใช้
ข้อมูลหลายประเภทขึ้นอยู่กับว่าผู้ศึกษาต้องการศึกษาเรื่องอะไร ดังนั้นการรวบรวมข้อมูลที่ดีจะต้องจดบันทึกรายละเอียดต่างๆ
ทั้งข้อมูลและ แหล่งข้อมูลให้สมบูรณ์และถูกต้องเพื่อการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ
ลักฐานชั้นต้น
ลักษณะ
เป็นหลักฐานและข้อมูลที่เป็นของร่วมสมัยหรือเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยตรง ตัวอย่างได้แก่
ข้อมูลจากการสอบถามผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์บันทึกของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ภาพถ่าย
วีดิโอเทป สิ่งของเครื่องใช้ สิ่งก่อสร้าง เป็นต้น
หลักฐานชั้นรอง
ลักษณะ
เป็นหลักฐานและข้อมูลที่เขียนหรือรวบรวมไว้ภายหลังเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นโดยใช้ข้อมูลจากหลักฐานชั้นต้น
ตัวอย่างได้แก่ บทความทางวิชาการ หนังสือต่าง ๆ
หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร
ลักษณะ
เป็นหลักฐานข้อมูลที่เป็นตัวหนังสือตัวอย่างได้แก่ จารึก พงศาวดาร จดหมายเหตุ
หนังสือพิมพ์
จดหมาย บันทึก เอกสารทางราชการ เป็นต้น
หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
ลักษณะ
เป็นหลักฐานข้อมูลที่ไม่่เป็นตัวหนังสือตัวอย่างได้แก่
เครื่องมือเครื่องใช้ของคนในสมัยต่าง ๆ
วัด เจดีย์ อนุสาวรีย์ เครื่องประดับ อาคารบ้านเรือน
เครื่องปั้นดินเผา เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 3 การประเมินคุณค่าของหลักฐาน
วิพากษ์ วิธีทางประวัติศาสตร์ คือ
การตรวจสอบหลักฐานและข้อมูลในหลักฐานเหล่านั้นว่า มีความน่าเชื่อถือหรือไม่
ประกอบด้วยการวิพากษ์หลักฐานและวิพากษ์ข้อมูลโดยขั้นตอนทั้งสองจะกระทำควบ คู่กันไป
เนื่องจากการตรวจสอบหลักฐานต้องพิจารณาจากเนื้อหา หรือข้อมูลภายในหลักฐานนั้น
และในการวิพากษ์ข้อมูลก็ต้องอาศัยรูปลักษณะของหลักฐานภายนอกประกอบด้วยการ
วิพากษ์หลักฐานหรือวิพากษ์ภายนอกการวิพากษ์หลักฐาน (external
criticism) คือ
การพิจารณาตรวจสอบหลักฐานที่ได้คัดเลือกไว้แต่ละชิ้นว่ามีความน่าเชื่อถือ เพียงใด
แต่เป็นเพียงการประเมินตัวหลักฐาน มิได้มุ่งที่ข้อมูลในหลักฐาน
ดังนั้นขั้นตอนนี้เป็นการสกัดหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือออกไปการวิพากษ์
ข้อมูลหรือวิพากษ์ภายในการวิพากษ์ข้อมูล (internal criticism) คือ
การพิจารณาเนื้อหาหรือความหมายที่แสดงออกในหลักฐานเพื่อประเมินว่าน่าเชื่อ
ถือเพียงใด โดยเน้นถึงความถูกต้อง คุณค่า ตลอดจนความหมายที่แท้จริง
ซึ่งนับว่ามีความสำคัญต่อการประเมินหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร
เพราะข้อมูลในเอกสารมีทั้งที่คลาดเคลื่อน และมีอคติของผู้บันทึกแฝงอยู่
หากนักประวัติศาสตร์ละเลยการวิพากษ์ข้อมูลผลที่ออกมาอาจจะผิดพลาดจากความ เป็นจริง
ขั้นตอนที่ 4 การตีความหลักฐาน
การ ตีความหลักฐาน หมายถึง การพิจารณาข้อมูลในหลักฐานว่าผู้สร้างหลักฐานมีเจตนาที่แท้จริงอย่างไร
โดย ดูจากลีลาการเขียนของผู้บันทึกและรูปร่างลักษณะโดยทั่วไปของประดิษฐกรรม
ต่างๆเพื่อให้ได้ความหมายที่แท้จริงซึ่งอาจแอบแฟงโดยเจตนาหรือไม่ก็ตามในการ
ตีความหลักฐาน นักประวัติศาสตร์จึงต้องพยายามจับความหมายจากสำนวนโวหาร
ทัศนคติความเชื่อ ฯลฯ ของผู้เขียนและสังคมในยุคสมัยนั้นประกอบด้วย
เพื่อทีจะได้ทราบว่าถ้อยความนั้นนอกจากจะหมายความตามตัวอักษรแล้วยังมีความ
หมายที่แท้จริงอะไรแฝงอยู่
ขั้นตอนที่ 5 การสังเคราะห์และการวิเคราะห์ข้อมูล
จัด เป็นขั้นตอนสุดท้ายของวิธีการทางประวัติศาสตร์ซึ่งผู้ศึกษาค้นคว้าจะต้อง
เรียบเรียงเรื่อง หรือนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่เป็นการตอบหรืออธิบายความอยากรู้
ข้อสงสัยตลอดจนความรู้ใหม่ ความคิดใหม่ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้านั้นในขั้นตอนนี้
ผู้ศึกษาจะต้องนำข้อมูลที่ผ่านการตีความมาวิเคราะห์
หรือแยกแยะเพื่อจัดแยกประเภทของเรื่องโดยเรื่องเดียวกันควรจัดไว้ด้วยกัน
รวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กัน เรื่องที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน
จากนั้นจึงนำเรื่องทั้งหมดมาสังเคราะห์หรือรวมเข้าด้วยกัน คือ
เป็นการจำลองภาพบุคคลหรือเหตุการณในอดีตขึ้นมาใหม่
เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์และความต่อเนื่อง โดยอธิบายถึงสาเหตุต่างๆ
ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และผล
ทั้งนี้ผู้ศึกษาอาจนำเสนอเป็นเหตุการณ์พื้นฐานหรือเป็นเหตุการณ์เชิง
วิเคราะห์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการศึกษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น